วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ว่าด้วยเรื่องความ "เยอะ"

งานศิลป์ทั้งหลาย แฟชั่น เสื้อผ้า อะไรต่างๆ อาหาร ดนตรี อันนี้แต่เยอะจะน้อย สวยงามได้ทั้งนั้น

แต่ยกเว้น ชีวิต และการดำเนินงาน ยิ่งเยอะยิ่งไม่ดี
เราต้องดูไปถึงผลลัพธ์ จุดประสงค์ของงานว่าจริงๆแล้ว เราต้องการอะไร
บางคนบอกว่า เราต้องทำให้ดีที่สุดๆ เลยใช้เวลาอันยาวนาน แรงงานอันหนักหน่วงหรืองบประมาณที่เพิ่มขึ้น
สุดท้ายแล้ว งานที่ได้ กับวัตถุประสงค์ มันตรงกันไหม แล้วใช้ประโยชน์อย่างไร

วัตถุประสงค์ ต้องการ 100%
คุณทำ 200%
ใช้จริง 50%

เสียทรัพยากรไป 150 %

อย่าอ้างว่าต้องทำให้ดีที่สุด ดีที่สุดแล้วได้อะไร ในเมื่อมันไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร

ยกตัวอย่าง สมมุติ

แม่บอกให้ลูกห่อขนมใส่ใบตองไปขายหน้าโรงเรียน 10 ชิ้น ก่อน 7 โมงเช้า
เพราะเป็นช่วงที่เด็กเดินเข้าโรงเรียน (แม่ไม่อยู่ จะไปธุระ)
ลูกตั้งใจทำมาก อยากขายได้
ก่อนนอนเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ กรรไกรต้องคมกริบ แต่มันไม่คม เอาเงินเก็บแล้วขอร้องพี่ชายให้พาไปซื้อ
แม้ตอนนั้นจะค่ำและหนาว (พี่ชายก็จำใจเพราะรักน้อง)
ไม้กลัดต้องสวยเรียวได้รูป แม่เหลาแล้วไม่สวยโดนใจ แต่... เหลาไม่เป็น บอกพ่อให้ช่วยทำ พ่อไม่ว่าง งอน มานั่งเหลาเองมือถลอก จนดึกดื่น
เช้าตื่นมาตั้งแต่ตีห้า รีบอาบน้ำแต่งตัว ไปเก็บใบตองห่อขนมด้วยความประณีตมาก
จนเกือบไม่ทัน ต้องเรียกยายมาช่วย

พอไปถึงโรงเรียน คนเดินมาซื้อโดยไม่ต้องร้องเรียก เพราะแม่เอามาขายประจำอยู่แล้ว
ส่วนใหญ่ซื้อแล้วแกะกินแถวนั้นเลย ใบตองก็แกะทิ้งลงถังเดี๋ยวนั้น


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ขายหมด



ดูแล้ว อาจจะชื่นชมเด็กคนนี้ว่ามีความขยันละเอียดรอบคอบใส่ใจ ทุ่มเท
แต่มัน เยอะ ไป ทั้งต้องลำบากคนอื่น ต้องลำบากตัวเอง ต้องเสียเงินตัวเอง
ทั้งที่จริงๆ แม่เตรียมให้ทุกอย่างแล้ว และสิ่งที่เด็กคนนั้นทำ ไม่มีใครจะเห็นค่าเลย
แค่ห่อขนมเหมือนที่ทำในทุกวัน

เอาความใส่ใจเยอะๆไปใช้กับสิ่งอื่นจะดีกว่า โดยเฉพาะสิ่งใหม่ๆ หรือต่อยอดสิ่งเดิมๆ ไม่ใช่ทำอันเก่าซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่มันก็ โอเคอยู่แล้ว
เช่น แม่ไม่มีหน้าร้าน ก็ทำป้ายไม่ติดตรงโต๊ะที่วางขาย
หรือทำตามแบบที่แม่วางไว้จะได้เร็วๆ แล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่น


อย่าลืมว่า ชิวิตเรามัน "สั้น"
สิ่งใดๆในโลกล้วน "แป๊ปเดียว"