งานศิลป์ทั้งหลาย แฟชั่น เสื้อผ้า อะไรต่างๆ อาหาร ดนตรี อันนี้แต่เยอะจะน้อย สวยงามได้ทั้งนั้น
แต่ยกเว้น ชีวิต และการดำเนินงาน ยิ่งเยอะยิ่งไม่ดี
เราต้องดูไปถึงผลลัพธ์ จุดประสงค์ของงานว่าจริงๆแล้ว เราต้องการอะไร
บางคนบอกว่า เราต้องทำให้ดีที่สุดๆ เลยใช้เวลาอันยาวนาน แรงงานอันหนักหน่วงหรืองบประมาณที่เพิ่มขึ้น
สุดท้ายแล้ว งานที่ได้ กับวัตถุประสงค์ มันตรงกันไหม แล้วใช้ประโยชน์อย่างไร
วัตถุประสงค์ ต้องการ 100%
คุณทำ 200%
ใช้จริง 50%
เสียทรัพยากรไป 150 %
อย่าอ้างว่าต้องทำให้ดีที่สุด ดีที่สุดแล้วได้อะไร ในเมื่อมันไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร
ยกตัวอย่าง สมมุติ
แม่บอกให้ลูกห่อขนมใส่ใบตองไปขายหน้าโรงเรียน 10 ชิ้น ก่อน 7 โมงเช้า
เพราะเป็นช่วงที่เด็กเดินเข้าโรงเรียน (แม่ไม่อยู่ จะไปธุระ)
ลูกตั้งใจทำมาก อยากขายได้
ก่อนนอนเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ กรรไกรต้องคมกริบ แต่มันไม่คม เอาเงินเก็บแล้วขอร้องพี่ชายให้พาไปซื้อ
แม้ตอนนั้นจะค่ำและหนาว (พี่ชายก็จำใจเพราะรักน้อง)
ไม้กลัดต้องสวยเรียวได้รูป แม่เหลาแล้วไม่สวยโดนใจ แต่... เหลาไม่เป็น บอกพ่อให้ช่วยทำ พ่อไม่ว่าง งอน มานั่งเหลาเองมือถลอก จนดึกดื่น
เช้าตื่นมาตั้งแต่ตีห้า รีบอาบน้ำแต่งตัว ไปเก็บใบตองห่อขนมด้วยความประณีตมาก
จนเกือบไม่ทัน ต้องเรียกยายมาช่วย
พอไปถึงโรงเรียน คนเดินมาซื้อโดยไม่ต้องร้องเรียก เพราะแม่เอามาขายประจำอยู่แล้ว
ส่วนใหญ่ซื้อแล้วแกะกินแถวนั้นเลย ใบตองก็แกะทิ้งลงถังเดี๋ยวนั้น
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ขายหมด
ดูแล้ว อาจจะชื่นชมเด็กคนนี้ว่ามีความขยันละเอียดรอบคอบใส่ใจ ทุ่มเท
แต่มัน เยอะ ไป ทั้งต้องลำบากคนอื่น ต้องลำบากตัวเอง ต้องเสียเงินตัวเอง
ทั้งที่จริงๆ แม่เตรียมให้ทุกอย่างแล้ว และสิ่งที่เด็กคนนั้นทำ ไม่มีใครจะเห็นค่าเลย
แค่ห่อขนมเหมือนที่ทำในทุกวัน
เอาความใส่ใจเยอะๆไปใช้กับสิ่งอื่นจะดีกว่า โดยเฉพาะสิ่งใหม่ๆ หรือต่อยอดสิ่งเดิมๆ ไม่ใช่ทำอันเก่าซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่มันก็ โอเคอยู่แล้ว
เช่น แม่ไม่มีหน้าร้าน ก็ทำป้ายไม่ติดตรงโต๊ะที่วางขาย
หรือทำตามแบบที่แม่วางไว้จะได้เร็วๆ แล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่น
อย่าลืมว่า ชิวิตเรามัน "สั้น"
สิ่งใดๆในโลกล้วน "แป๊ปเดียว"
ชีวิตเหงาๆอันแสนครื้นเครง
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561
วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560
รถชนครั้งที่สาม ชน "แพะ" แอะๆๆ
แพะ ที่ว่า ไม่ใช่คำเปรียบเปรยแต่อย่างใด
แต่เป็นแพะที่เป็นสัตว์จริงๆ
เรื่องมีอยู่ว่า เย็นวันศุกร์ทีแสนสุข รู้สึกสบายพรุ่งนี้หยุดเสาร์อาทิตย์ไม่ต้องไปไหน พักผ่อน
ทีไหนได้ พี่ที่ทำงานโทรมาอ้อนวอนให้มาเฝ้าเวรให้วันพรุ่งนี้
เราก็โอเค ไปเฝ้าเวรสำนักงานตามปกติ ขากลับ หิวมาก ขี่รถก็นึกถึงของกินตลอดทาง ใกล้จะถึงบ้านละ อีกนิด
แพะวิ่งออกมาจากทุ่งนาที่ขึ้นสูงข้างทาง คนตะโกนระวัง ตู้มมม ไม่ทัน
ตอนนั้นเจ็บไหล่มากลุกไม่ขึ้น ชาวบ้านแห่มาดูเพียบด้วยความไวแสง
ด้วยความที่ขี้เกรงใจ ไม่ชอบใครมาให้ความสนใจขนาดนี้เพราะไม่ใช่ดารา ฝืนลุกขึ้นมาจนได้
หยิบมือถือจะโทรให้แม่มารับเพราะน่าจะขับไม่ไหว แต่...ตังค์หมด
เอาวะ ชาวบ้านมาเพียบแล้ว ไปดีกว่า เลยบอกว่า "หนูไปก่อนนะ"
แล้วฝืนขับรถต่อไป หวั่นใจอยู่ว่าตอนเลี้ยวทำไวะ เจ็บมากกก
พอถึงบ้านรีบบอกพ่อแม่ว่าขับรถล้ม ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย
เห็นเลือดซึมทะลุออกมาตรงกางเกงตรงน่อง ก็ตกใจ
พ่อพาไปอนามัยล้างแผล ก็พบความจริงที่สะเทือนใจกว่าเลือดที่ซึม
หมอนามัยบอกว่า กระดูกไหล่เบี้ยวนะ ให้ไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาล อู้ววว
ก็ไปโรงพบาลที่ตัวเมือง รอคิวนานมากกกก สรุปตั้งแต่เกิดเรื่องมา ความหิวยังไม่ได้รับการบรรเทา
นี่แหละนะ รีบกินสุดท้ายกว่าจะได้กินนานกว่าเดิม
เอ๊กซเรย์เสร็จ ผลออกมาว่า กระดูกไหปลาร้าซ้ายหัก !
โอ้วว ครั้งแรกในชีวิตที่กระดูกหัก (หมอน่ารักดี)
ต่อมาก็ไม่ได้ทำอะไร รอมันหายไปเอง
จบนะ
รถก็เสียหายไปตามระเบียบ หน้ากากหน้ารถแตกเป็นครั้งทีสอง รวมค่าซ่อมสี่พันกว่าบาท
พี่ที่ทำงานก็แซวว่า เขามีแต่ขับรถชนหมา ชนวัว ไอ้นี่ชนแพะ
ก็จริงอ่ะนะ ในสุรินทร์ไม่นิยมเลี้ยงแพะ ยังอุตส่าห์ไปชนมัน ถ้าถามว่าแพะตายไหม ตอบเลยว่า
มันสบายดี อยู่ดีมีสุข
ลางานไปหนึ่งอาทิตย์ ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ทุกข์มาก เหมือนจุดต่ำสุดในชีวิต ที่ยังอกหักอยู่ก็แย่แล้ว เจ็บตัวอีก แผลเป็นเพิ่มขึ้นหลายที่เลย ทำอะไรก็ไม่ได้ เสียเงิน เสียเวลา ทุกข์มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอนนี้ก็ดีขึ้น แต่หัวใจยังเลย เฮ้อออ อะไรนักหนา
แต่เป็นแพะที่เป็นสัตว์จริงๆ
เรื่องมีอยู่ว่า เย็นวันศุกร์ทีแสนสุข รู้สึกสบายพรุ่งนี้หยุดเสาร์อาทิตย์ไม่ต้องไปไหน พักผ่อน
ทีไหนได้ พี่ที่ทำงานโทรมาอ้อนวอนให้มาเฝ้าเวรให้วันพรุ่งนี้
เราก็โอเค ไปเฝ้าเวรสำนักงานตามปกติ ขากลับ หิวมาก ขี่รถก็นึกถึงของกินตลอดทาง ใกล้จะถึงบ้านละ อีกนิด
แพะวิ่งออกมาจากทุ่งนาที่ขึ้นสูงข้างทาง คนตะโกนระวัง ตู้มมม ไม่ทัน
ตอนนั้นเจ็บไหล่มากลุกไม่ขึ้น ชาวบ้านแห่มาดูเพียบด้วยความไวแสง
ด้วยความที่ขี้เกรงใจ ไม่ชอบใครมาให้ความสนใจขนาดนี้เพราะไม่ใช่ดารา ฝืนลุกขึ้นมาจนได้
หยิบมือถือจะโทรให้แม่มารับเพราะน่าจะขับไม่ไหว แต่...ตังค์หมด
เอาวะ ชาวบ้านมาเพียบแล้ว ไปดีกว่า เลยบอกว่า "หนูไปก่อนนะ"
แล้วฝืนขับรถต่อไป หวั่นใจอยู่ว่าตอนเลี้ยวทำไวะ เจ็บมากกก
พอถึงบ้านรีบบอกพ่อแม่ว่าขับรถล้ม ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย
เห็นเลือดซึมทะลุออกมาตรงกางเกงตรงน่อง ก็ตกใจ
พ่อพาไปอนามัยล้างแผล ก็พบความจริงที่สะเทือนใจกว่าเลือดที่ซึม
หมอนามัยบอกว่า กระดูกไหล่เบี้ยวนะ ให้ไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาล อู้ววว
ก็ไปโรงพบาลที่ตัวเมือง รอคิวนานมากกกก สรุปตั้งแต่เกิดเรื่องมา ความหิวยังไม่ได้รับการบรรเทา
นี่แหละนะ รีบกินสุดท้ายกว่าจะได้กินนานกว่าเดิม
เอ๊กซเรย์เสร็จ ผลออกมาว่า กระดูกไหปลาร้าซ้ายหัก !
โอ้วว ครั้งแรกในชีวิตที่กระดูกหัก (หมอน่ารักดี)
ต่อมาก็ไม่ได้ทำอะไร รอมันหายไปเอง
จบนะ
รถก็เสียหายไปตามระเบียบ หน้ากากหน้ารถแตกเป็นครั้งทีสอง รวมค่าซ่อมสี่พันกว่าบาท
พี่ที่ทำงานก็แซวว่า เขามีแต่ขับรถชนหมา ชนวัว ไอ้นี่ชนแพะ
ก็จริงอ่ะนะ ในสุรินทร์ไม่นิยมเลี้ยงแพะ ยังอุตส่าห์ไปชนมัน ถ้าถามว่าแพะตายไหม ตอบเลยว่า
มันสบายดี อยู่ดีมีสุข
ลางานไปหนึ่งอาทิตย์ ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ทุกข์มาก เหมือนจุดต่ำสุดในชีวิต ที่ยังอกหักอยู่ก็แย่แล้ว เจ็บตัวอีก แผลเป็นเพิ่มขึ้นหลายที่เลย ทำอะไรก็ไม่ได้ เสียเงิน เสียเวลา ทุกข์มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอนนี้ก็ดีขึ้น แต่หัวใจยังเลย เฮ้อออ อะไรนักหนา
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560
เปลี่ยนแปลงที่สุดในชีวิต
จุดที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนมาก ได้รู้อะไรมากขึ้น รู้สึกว่า นี่แหละชีวิต
คือตอนอายุ 19 และ 26
ที่ผ่านมาใช้วิตเรียบง่าย ง่ายมาก ไม่ชอบความเยอะ
แต่ที่เปลี่ยนแปลงมากสุดคือ ตอนอายุ 19 ได้มาเรียนมหาลัยที่กรุงเทพ ได้ใช้ชีวิตในกรุงเทพอย่างที่ฝัน ตอนนั้นไม่รู้เรื่องเลย คิดว่า มหาลัยนี้เรียนในกรุงเทพแน่นอน แต่ความเป็นจริงแล้ว มหาลัยมีหลายวิทยาเขต และคณะที่เราเรียน อยุ่ที่เพชรบุรี ! แต่ว่า.. เฉพาะสาขาที่เราเรียน เป็นสาขาเปิดใหม่ และเป็นสาขาเดียวที่แยกออกมาเรียนที่กรุงเทพฯ เรื่องนี้มารู้ทีหลัง รู้สึกโชคดีจัง
ตอนนั้นถึงจะได้ไปเรียนตามที่หวัง แต่ก็เคว้งมาก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจากบ้านไปไกล
พ่อแม่ขับรถจากสุรินทร์ไปส่ง พอย้ายของเสร็จก็กลับ ไม่ได้นอนค้างเลย เราอยู่หอกับเพื่อน 2 คน (อีกคนมาจากขอนแก่น บ้านนอกคือกัน ฮ่าๆ) ตอนนั้นแม่เพื่อนมานอนด้วย 1 อาทิตย์ ช่วงนั้นคิดถึงบ้านมากสุดๆ แต่ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ได้ไปที่ๆอยากไป เวลาเห็นในโทรทัศน์ว่าจัดงานที่ไหน เราก็สามารถไปได้ง่ายๆ ได้ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก เรือโดยสาร วินมอไซต์ แท็กซี่ แอร์พอร์ตลิ้ง ตุ๊กๆ อยู่บ้านไม่เคยขึ้น เพราะใช้รถตัวเอง
ได้รู้ว่าทอมใช้ชีวิตรักยังไง เพราะอยู่กลุ่มกับเพื่อนที่เป็นทอม 3 คน และเพื่อนสนิทอีกคนก็เป็นเกย์
ตอนนั้น ว้าว มาก ได้ความรู้ใหม่ๆเยอะ ฮ่าๆๆในกรุงเทพมีอะไรไปหมด วัดพระแก้ว เสาชิงชา สำเพ็ง พารากอน เซ็นทรัลเวิล จตุจักร สวนลุมพินี มาบุญครอง หอศิลป์ ฯลฯ ขาดแต่ ท้องฟ้าจำลองยังไม่เคยไป พลาดได้ไงเนี่ย ได้เจอดารา ได้เข้าสตูดิโอที่เขาอัดรายการทีวี ได้กินอาหารดีๆแปลกๆ
แย่ๆก็มี เช่น โดนล้วงกระเป๋า (7,000) แท็กซีโกง หลงทาง เดินตากฝนรอบสนามหลวงเพราะหารถเมล์ไม่เจอ ฯ,ฯ
ประทับใจมากๆคือรับน้องทั้งเหนื่อย ทั้งโหด ทั้งสนุก ได้ใกล้ชิดชีวิตมหาลัยสุดแล้ว เพราะสาขาที่เรียนเช่าตึกเอกชนเรียน ไม่มีสภาพแวดล้อมแบบมหาลัยเลย (ปัจจุบันยุบแล้ว ย้ายกลับไปเรียนเพชรบุรี)
แต่เปลี่ยนแปลงยังไง ยังไม่เท่ากับตอนอายุ 26
เกิดอะไรครั้งแรกหลายอย่าง แต่ที่กระทบและเปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุดคือ เมาขับรถชนจนสลบ เจอรักแรกพบ และอกหักครั้งแรก(ด้วยเหตุผลที่ดราม่ามาก) จนป่านนี้อายุ 27 ก็ยังกระทบอยู่
คือตอนอายุ 19 และ 26
ที่ผ่านมาใช้วิตเรียบง่าย ง่ายมาก ไม่ชอบความเยอะ
แต่ที่เปลี่ยนแปลงมากสุดคือ ตอนอายุ 19 ได้มาเรียนมหาลัยที่กรุงเทพ ได้ใช้ชีวิตในกรุงเทพอย่างที่ฝัน ตอนนั้นไม่รู้เรื่องเลย คิดว่า มหาลัยนี้เรียนในกรุงเทพแน่นอน แต่ความเป็นจริงแล้ว มหาลัยมีหลายวิทยาเขต และคณะที่เราเรียน อยุ่ที่เพชรบุรี ! แต่ว่า.. เฉพาะสาขาที่เราเรียน เป็นสาขาเปิดใหม่ และเป็นสาขาเดียวที่แยกออกมาเรียนที่กรุงเทพฯ เรื่องนี้มารู้ทีหลัง รู้สึกโชคดีจัง
ตอนนั้นถึงจะได้ไปเรียนตามที่หวัง แต่ก็เคว้งมาก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจากบ้านไปไกล
พ่อแม่ขับรถจากสุรินทร์ไปส่ง พอย้ายของเสร็จก็กลับ ไม่ได้นอนค้างเลย เราอยู่หอกับเพื่อน 2 คน (อีกคนมาจากขอนแก่น บ้านนอกคือกัน ฮ่าๆ) ตอนนั้นแม่เพื่อนมานอนด้วย 1 อาทิตย์ ช่วงนั้นคิดถึงบ้านมากสุดๆ แต่ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ได้ไปที่ๆอยากไป เวลาเห็นในโทรทัศน์ว่าจัดงานที่ไหน เราก็สามารถไปได้ง่ายๆ ได้ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก เรือโดยสาร วินมอไซต์ แท็กซี่ แอร์พอร์ตลิ้ง ตุ๊กๆ อยู่บ้านไม่เคยขึ้น เพราะใช้รถตัวเอง
ได้รู้ว่าทอมใช้ชีวิตรักยังไง เพราะอยู่กลุ่มกับเพื่อนที่เป็นทอม 3 คน และเพื่อนสนิทอีกคนก็เป็นเกย์
ตอนนั้น ว้าว มาก ได้ความรู้ใหม่ๆเยอะ ฮ่าๆๆในกรุงเทพมีอะไรไปหมด วัดพระแก้ว เสาชิงชา สำเพ็ง พารากอน เซ็นทรัลเวิล จตุจักร สวนลุมพินี มาบุญครอง หอศิลป์ ฯลฯ ขาดแต่ ท้องฟ้าจำลองยังไม่เคยไป พลาดได้ไงเนี่ย ได้เจอดารา ได้เข้าสตูดิโอที่เขาอัดรายการทีวี ได้กินอาหารดีๆแปลกๆ
แย่ๆก็มี เช่น โดนล้วงกระเป๋า (7,000) แท็กซีโกง หลงทาง เดินตากฝนรอบสนามหลวงเพราะหารถเมล์ไม่เจอ ฯ,ฯ
ประทับใจมากๆคือรับน้องทั้งเหนื่อย ทั้งโหด ทั้งสนุก ได้ใกล้ชิดชีวิตมหาลัยสุดแล้ว เพราะสาขาที่เรียนเช่าตึกเอกชนเรียน ไม่มีสภาพแวดล้อมแบบมหาลัยเลย (ปัจจุบันยุบแล้ว ย้ายกลับไปเรียนเพชรบุรี)
แต่เปลี่ยนแปลงยังไง ยังไม่เท่ากับตอนอายุ 26
เกิดอะไรครั้งแรกหลายอย่าง แต่ที่กระทบและเปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุดคือ เมาขับรถชนจนสลบ เจอรักแรกพบ และอกหักครั้งแรก(ด้วยเหตุผลที่ดราม่ามาก) จนป่านนี้อายุ 27 ก็ยังกระทบอยู่
กุญแจรถที่หายไป กับความคิดเยอะมากมาย
ในชีวิตนี้เจอเรื่องบังเอิญหลายครั้ง เอาเท่าที่จำได้นะ
วันนึงไปออกพื้นที่ต่างอำเภอ กว่าจะกลับสำนักงานก็เย็น
พอมาถึง สำนักงานปิดไฟเงียบ คนกลับบ้านหมดแล้ว เราก็เตรียมขี่มอไซต์กลับบ้าน แต่...
หากุญแจรถไม่เจอ คิดว่าคงจะลืมไว้บนโต๊ะพี่ๆอีกฝ่ายเมื่อเช้า (เพราะคุ้นๆว่านั่งคุยกับพี่แกก่อนออกพื้นที่)
ก็เลยจะโทรถาม แต่.. แบตโทรศัพท์หมด
ตอนนั้นคือโอ้ยยยย อะไรนักหนาวะ
ต้องไปหาเบอร์จากไหน ต้องไปหาตารางเวรในห้องบริหารเพื่อหาเบอร์โทรใช่ไหม แล้วถ้าโทรไปพี่เขาจะรู้หรือเปล่า เราอาจจะทำกุญแจหายที่อื่น บลาๆๆ เครียดมากตอนนั้น ความคิดตีกันวุ่นไปหมด บ้านก็อยู่ไกล (20โล) ตอนนั้นพี่คนขับรถกำลังจะขี่รถกลับบ้าน เราเลยไปบอกแก เผื่อช่วยอะไรได้ แต่ถึงแกจะไปส่ง เราก็รู้สึกไม่ดี เพราะยังหากุญแจไม่เจอ แล้วตอนเช้าจะมาทำงานยังไง ต้องไปบอกร้านขายรถเรื่องกุญแจ โอยยย เยอะ เป็นคนที่เกลียดความเยอะ ความยุ่งยาก
แต่ทุกสิ่งที่คิด เกิดขึ้นในเวลาไม่เกิน 2 นาที อยู่ดีๆ พี่คนนึงเดินเข้ามาในสำนักงานเงียบๆ (ไฟไม่ได้เปิด) เราที่กำลังเดินหากุญแจ เห็นพี่แกหางตาแว็บๆ เลยรีบเรียกแล้วถามพี่แกดู ว่าเห็นกุญแจรถป่าว
แกตอบว่า อ้าว ของเธอเหรอ นึกว่าลูกค้าลืมไว้ นู้นอยู่กล่องข้างหลัง
โอ้วววว ความคิดมากแตกกระจายหายไปชั่วพริบตา
จบ
วันนึงไปออกพื้นที่ต่างอำเภอ กว่าจะกลับสำนักงานก็เย็น
พอมาถึง สำนักงานปิดไฟเงียบ คนกลับบ้านหมดแล้ว เราก็เตรียมขี่มอไซต์กลับบ้าน แต่...
หากุญแจรถไม่เจอ คิดว่าคงจะลืมไว้บนโต๊ะพี่ๆอีกฝ่ายเมื่อเช้า (เพราะคุ้นๆว่านั่งคุยกับพี่แกก่อนออกพื้นที่)
ก็เลยจะโทรถาม แต่.. แบตโทรศัพท์หมด
ตอนนั้นคือโอ้ยยยย อะไรนักหนาวะ
ต้องไปหาเบอร์จากไหน ต้องไปหาตารางเวรในห้องบริหารเพื่อหาเบอร์โทรใช่ไหม แล้วถ้าโทรไปพี่เขาจะรู้หรือเปล่า เราอาจจะทำกุญแจหายที่อื่น บลาๆๆ เครียดมากตอนนั้น ความคิดตีกันวุ่นไปหมด บ้านก็อยู่ไกล (20โล) ตอนนั้นพี่คนขับรถกำลังจะขี่รถกลับบ้าน เราเลยไปบอกแก เผื่อช่วยอะไรได้ แต่ถึงแกจะไปส่ง เราก็รู้สึกไม่ดี เพราะยังหากุญแจไม่เจอ แล้วตอนเช้าจะมาทำงานยังไง ต้องไปบอกร้านขายรถเรื่องกุญแจ โอยยย เยอะ เป็นคนที่เกลียดความเยอะ ความยุ่งยาก
แต่ทุกสิ่งที่คิด เกิดขึ้นในเวลาไม่เกิน 2 นาที อยู่ดีๆ พี่คนนึงเดินเข้ามาในสำนักงานเงียบๆ (ไฟไม่ได้เปิด) เราที่กำลังเดินหากุญแจ เห็นพี่แกหางตาแว็บๆ เลยรีบเรียกแล้วถามพี่แกดู ว่าเห็นกุญแจรถป่าว
แกตอบว่า อ้าว ของเธอเหรอ นึกว่าลูกค้าลืมไว้ นู้นอยู่กล่องข้างหลัง
โอ้วววว ความคิดมากแตกกระจายหายไปชั่วพริบตา
จบ
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560
อกหักแล้วไง ก็เจ็บน่ะสิ
ก่อนจะมาเขียนบล็อกวันนี้ ผ่านความทุกข์ทรมานมาอย่างสาหัสพอสมควร
เกิดมาจนจะแก่แล้ว ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยสนใจเรื่องความรักเลย
แต่ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรักนะ
เคยอยู่ เวลาเจอใครคนนั้นบ่อยๆ นานๆไปก็รู้สึกชอบไปเอง และก็เลิกชอบไปเองตามกาลเวลา
ไม่เคยบอกเขาให้รับรู้ ไม่เคยสานสัมพันธ์ แค่แอบชอบเงียบๆแล้วก็ผ่านไป
ไม่เคยอกหัก และสงสัยว่า คนที่อกหักจะเศร้าอะไรขนาดนั้น
แต่มาวันนึง ช่วงที่อายุกำลังจะ 26 ปี อยู่ดีๆก็อยากมีความรักขึ้นมา (แก่ละ)
ไม่นาน (หลังจากที่คิดได้อาทิตย์นึง) ที่สำนักงานส่งให้เราไปอบรม 5 วัน
ตอนนั้นคือไม่อยากไปเลย แต่ก็คิดในแง่ดีว่า ไปอบรมอาจไปเจอคนน่ารักๆที่มาอบรมด้วยกันก็ได้
ปรากฎว่า คนน่ารักที่เราเจอกลับเป็นคนที่มาช่วยอบรม ไม่ใช่คนมาอบรม
วิธีการขั้นแรกคือไปขอเฟซคนน่ารักคนนั้นมา !
ความจริงเราไม่ได้มีความมั่นอะไรขนาดนั้นหรอก แต่บังเอิญมีจังหวะและสถานการณ์ + ความชอบที่พลุ่งพล่าน เลยหลุดปากขอไปจนได้
บอกก่อนเลยว่าไม่เคยเจอใครที่เห็นแค่แป๊ปเดียวแล้วชอบขนาดนี้
แล้วความรักครั้งแรกก็เกิด
เรื่องเกิดก่อนวันเกิดไม่กี่วัน ช่วงต้นเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว (วันเกิดเรากลางเดือน)
จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนปีนี้ ก็คือวันที่สิ้นสุดความรักของสองเรา
1 ปีกับความรักครั้งแรก
มันเสียใจมากที่สุดในชีวิตแล้ว
แต่อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าความรักเป็นยังไง
เมื่อก่อนฟังเพลงอกหักไม่อิน ตอนนี้เพลงอะไรก็ตรงทุกอย่าง
ความรัก ไม่ผิด แค่ควบคุมมันไม่ได้เท่านั้นเอง
และไม่ว่าจะยังไง ความรักสวยงามเสมอ
เกิดมาจนจะแก่แล้ว ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยสนใจเรื่องความรักเลย
แต่ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรักนะ
เคยอยู่ เวลาเจอใครคนนั้นบ่อยๆ นานๆไปก็รู้สึกชอบไปเอง และก็เลิกชอบไปเองตามกาลเวลา
ไม่เคยบอกเขาให้รับรู้ ไม่เคยสานสัมพันธ์ แค่แอบชอบเงียบๆแล้วก็ผ่านไป
ไม่เคยอกหัก และสงสัยว่า คนที่อกหักจะเศร้าอะไรขนาดนั้น
แต่มาวันนึง ช่วงที่อายุกำลังจะ 26 ปี อยู่ดีๆก็อยากมีความรักขึ้นมา (แก่ละ)
ไม่นาน (หลังจากที่คิดได้อาทิตย์นึง) ที่สำนักงานส่งให้เราไปอบรม 5 วัน
ตอนนั้นคือไม่อยากไปเลย แต่ก็คิดในแง่ดีว่า ไปอบรมอาจไปเจอคนน่ารักๆที่มาอบรมด้วยกันก็ได้
ปรากฎว่า คนน่ารักที่เราเจอกลับเป็นคนที่มาช่วยอบรม ไม่ใช่คนมาอบรม
วิธีการขั้นแรกคือไปขอเฟซคนน่ารักคนนั้นมา !
ความจริงเราไม่ได้มีความมั่นอะไรขนาดนั้นหรอก แต่บังเอิญมีจังหวะและสถานการณ์ + ความชอบที่พลุ่งพล่าน เลยหลุดปากขอไปจนได้
บอกก่อนเลยว่าไม่เคยเจอใครที่เห็นแค่แป๊ปเดียวแล้วชอบขนาดนี้
แล้วความรักครั้งแรกก็เกิด
เรื่องเกิดก่อนวันเกิดไม่กี่วัน ช่วงต้นเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว (วันเกิดเรากลางเดือน)
จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนปีนี้ ก็คือวันที่สิ้นสุดความรักของสองเรา
1 ปีกับความรักครั้งแรก
มันเสียใจมากที่สุดในชีวิตแล้ว
แต่อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าความรักเป็นยังไง
เมื่อก่อนฟังเพลงอกหักไม่อิน ตอนนี้เพลงอะไรก็ตรงทุกอย่าง
ความรัก ไม่ผิด แค่ควบคุมมันไม่ได้เท่านั้นเอง
และไม่ว่าจะยังไง ความรักสวยงามเสมอ
สะเต๊ะ เสร่อ
ขอย้อนอดีต (อีกแล้ว) สมัยปีหนึ่ง
เรากับรูมเมทสองคน มาจากต่างจังหวัดทั้งคู่
วัยหยุดก็ชอบเดินไปหาของกินกันใกล้ๆหอ
เที่ยงวันนั้นก็เช่นกัน คิดกันว่าจะเดินไปซื้อกับข้าวที่ตลาดอยู่ใกล้ๆ ห่างไปประมาณเกือบ 1 กิโล
ระหว่างทางจะมีร้านหมูสะเต๊ะร้านนึง คนขายจะคอยส่งเสียงเรียกลูกค้าเป็นระยะๆว่า
"หมูสะเต๊ะครับ 20 30 "
เรากับเพื่อนเคยเดินผ่านหลายรอบละ ครั้งนี้ลองซื้อดูดีกว่า เพื่อนมันก็ไม่เคยกินหมูสะเต๊ะ
เลยบอกกับเพื่อนว่า เอา 40 เลยไหม ออกเงินกันคนละ 20 บาท
เพื่อนก็โอเค จัดไป
เราก็บอกคนขายว่าเดี๋ยวเดินมาเอานะคะ ไปตลาดก่อน เพราะเห็นแกปิ้งอยู่ยังไม่เสร็จ
สักพักพอกลับมา เราก็รวมเงินกับเพื่อน 40 บาท ยื่นเงินจ่ายคนขาย
คนขายบอกว่า "120 บาทครับ"
หือออ เรากับเพื่อนงง "สั่ง 40 นะพี่"
คนขายตอบว่า "ครับ 40 ไม้ ไม้ละ 3 บาท ก็ 120 "
โอ้ววว เก็ตละ บ้านนอกอีกแล้วกู
40 ไม้ ไม่ใช่ 40 บาท อยู่ ตจว เคยกินอยู่นะ แต่คนอื่นซื้อมา ไม่เคยซื้อเอง ฮ่าๆๆๆๆ
จบนะ
เรากับรูมเมทสองคน มาจากต่างจังหวัดทั้งคู่
วัยหยุดก็ชอบเดินไปหาของกินกันใกล้ๆหอ
เที่ยงวันนั้นก็เช่นกัน คิดกันว่าจะเดินไปซื้อกับข้าวที่ตลาดอยู่ใกล้ๆ ห่างไปประมาณเกือบ 1 กิโล
ระหว่างทางจะมีร้านหมูสะเต๊ะร้านนึง คนขายจะคอยส่งเสียงเรียกลูกค้าเป็นระยะๆว่า
"หมูสะเต๊ะครับ 20 30 "
เรากับเพื่อนเคยเดินผ่านหลายรอบละ ครั้งนี้ลองซื้อดูดีกว่า เพื่อนมันก็ไม่เคยกินหมูสะเต๊ะ
เลยบอกกับเพื่อนว่า เอา 40 เลยไหม ออกเงินกันคนละ 20 บาท
เพื่อนก็โอเค จัดไป
เราก็บอกคนขายว่าเดี๋ยวเดินมาเอานะคะ ไปตลาดก่อน เพราะเห็นแกปิ้งอยู่ยังไม่เสร็จ
สักพักพอกลับมา เราก็รวมเงินกับเพื่อน 40 บาท ยื่นเงินจ่ายคนขาย
คนขายบอกว่า "120 บาทครับ"
หือออ เรากับเพื่อนงง "สั่ง 40 นะพี่"
คนขายตอบว่า "ครับ 40 ไม้ ไม้ละ 3 บาท ก็ 120 "
โอ้ววว เก็ตละ บ้านนอกอีกแล้วกู
40 ไม้ ไม่ใช่ 40 บาท อยู่ ตจว เคยกินอยู่นะ แต่คนอื่นซื้อมา ไม่เคยซื้อเอง ฮ่าๆๆๆๆ
จบนะ
ป้ายกำกับ:
ขำขัน,
ต่างจังหวัด,
บ้านนอก,
เสร่อ,
หมูสะเต๊ะ
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559
แปรงสีฟันที่ร่วงหล่น
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว
ตอนรับน้องปีหนึ่ง ต้องไปนอนค้างรวมกันที่ตึกคณะอะไรไม่รู้จำไม่ได้ อยู่ต่างวิทยาเขต
แน่นอนว่าช่วงเวลาอาบน้ำเป็นอะไรที่น่าวุ่นวายและเร่งรีบ
จขบ กับเพื่อนก็เลยอาบน้ำรวมกันหน้าห้องน้ำ (ตรงที่เป็นบริเวณหน้ากระจกมีอ่างล้างมือ)
พออาบเสร็จก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ห้องน้ำก็เล็กๆ มีแค่ส้วมคอห่านและถังน้ำเอาไว้ราด
ที่แขวนก็ไม่มี ไหนจะชุดเก่า ไหนจะชุดใหม่ ผ้าเช็ดตัวอีก เอาพาดคอบ้าง เอาขาหนีบบ้าง
แปรงสีฟันก็ดันเอาเข้ามาด้วย ก็ถือไว้
พอแต่งตัวเสร้จ ขณะที่กำลังม้วนเสื้อผ้าเอามากอดไว้ที่อก เตรียมจะออกจากห้องน้ำ
แปรงสีฟันเจ้ากรรม ก็กระเด้งตกลงไปให้คอห่านซะงั้น ! จขบ รีบเก็บอย่างไวด้วยความไวแสง
......................................
ทำไม... ทำไมต้องเกิดเหตุการเช่นนี้ TT ถ้าอยู่ที่อื่นคงไม่เป็นไร ซื้อใหม่
แต่นี่อยู่ในช่วงรับน้อง พี่ว้ากก็โหด ขนาดขอเข้าห้องน้ำพี่ยังมายืนคุม ใครจะกล้า
ลำบากใจเหลือเกิน เอาไงดี ไม่เป็นไร เมื่อกี้แปรงแล้ว เดี่ยวพรุ่งนี้เช้าตอนแปรงฟัน ค่อยบีบยาสีฟันเยอะๆล้างหลายๆรอบ ยาสีฟันต้องมีสารฆ่าเชื้อโรคแหละน่าา
ตอนเช้า
แปรงฟันตามปกติ....
ลืมมมม อ้ากกกก
ตอนรับน้องปีหนึ่ง ต้องไปนอนค้างรวมกันที่ตึกคณะอะไรไม่รู้จำไม่ได้ อยู่ต่างวิทยาเขต
แน่นอนว่าช่วงเวลาอาบน้ำเป็นอะไรที่น่าวุ่นวายและเร่งรีบ
จขบ กับเพื่อนก็เลยอาบน้ำรวมกันหน้าห้องน้ำ (ตรงที่เป็นบริเวณหน้ากระจกมีอ่างล้างมือ)
พออาบเสร็จก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ห้องน้ำก็เล็กๆ มีแค่ส้วมคอห่านและถังน้ำเอาไว้ราด
ที่แขวนก็ไม่มี ไหนจะชุดเก่า ไหนจะชุดใหม่ ผ้าเช็ดตัวอีก เอาพาดคอบ้าง เอาขาหนีบบ้าง
แปรงสีฟันก็ดันเอาเข้ามาด้วย ก็ถือไว้
พอแต่งตัวเสร้จ ขณะที่กำลังม้วนเสื้อผ้าเอามากอดไว้ที่อก เตรียมจะออกจากห้องน้ำ
แปรงสีฟันเจ้ากรรม ก็กระเด้งตกลงไปให้คอห่านซะงั้น ! จขบ รีบเก็บอย่างไวด้วยความไวแสง
......................................
ทำไม... ทำไมต้องเกิดเหตุการเช่นนี้ TT ถ้าอยู่ที่อื่นคงไม่เป็นไร ซื้อใหม่
แต่นี่อยู่ในช่วงรับน้อง พี่ว้ากก็โหด ขนาดขอเข้าห้องน้ำพี่ยังมายืนคุม ใครจะกล้า
ลำบากใจเหลือเกิน เอาไงดี ไม่เป็นไร เมื่อกี้แปรงแล้ว เดี่ยวพรุ่งนี้เช้าตอนแปรงฟัน ค่อยบีบยาสีฟันเยอะๆล้างหลายๆรอบ ยาสีฟันต้องมีสารฆ่าเชื้อโรคแหละน่าา
ตอนเช้า
แปรงฟันตามปกติ....
ลืมมมม อ้ากกกก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)